การแก้ปัญหาและการปิดการขาย


สยามธุรกิจ [ ฉบับที่ 871 ประจำวันที่ 16-2-2008 ถึง 19-2-2008 ]
การแก้ปัญหาและการปิดการขาย
องค์ประกอบแห่งความสำเร็จ ในระบบธุรกิจขายตรง(ตอนที่ 4)เป็นเรื่องปกติที่พนักงานขายจะพบข้อโต้แย้งในระหว่างการเสนอขายเนื่องจากสาเหตุต่างๆ กัน เช่น ความไม่สนใจในสินค้าและบริการ พนักงานขายที่มีประสบการณ์ จะคาดหวังว่าเขาจะได้รับข้อมูลโต้แย้งจากลูกค้ามุ่งหวังอยู่เสมอ และเขาจะถือข้อโต้แย้งเหล่านี้เป็นการขอข้อมูล หรือขอให้พนักงานขายอธิบาย ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ และชัดเจนยิ่งขึ้นพนักงานที่มีประสบการณ์จะไม่กลัวข้อโต้แย้งของลูกค้า@@



สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือ การที่ลูกค้าไม่มีข้อโต้แย้งแต่กลับเห็นด้วยทุกอย่างที่พนักงานขายพูด เพราะจากประสบการณ์ได้แสดงให้เห็นว่าการที่ลูกค้าไม่มีข้อโต้แย้ง ส่วนใหญ่ไม่สนใจในผลิตภัณฑ์ การปิดการขายเป็นเทคนิคที่ช่วยให้ลูกค้าเกิดการตัดสินใจซื้อสินค้าจากพนักงานขายซึ่งหลักการสำคัญของการปิดการขายควรให้ลูกค้า ตัดสินใจเอง โดยพนักงานขายเพียงช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในระหว่างการเสนอขายเท่านั้นความหมายของข้อโต้แย้งทางการขายพฤติกรรมต่างๆ ที่ผู้คาดหวังได้แสดงออกมาในทางตรงข้ามความเห็นพ้องในการตัดสินใจที่จะซื้อ ดังนั้น ผู้คาดหวังอาจมีการตำหนิ ไม่เห็นด้วยหรือไม่เห็นชอบในการที่จะซื้อสินค้า หรือบริการนั้นๆ ออกมาในรูปใดรูปหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นการโต้แย้งอย่างจริงใจ การโต้แย้งอย่างไม่จริงใจและอุปสรรคในการขายการขจัดข้อโต้แย้ง หมายถึง การกำจัดปัญหา หรือความคิดที่แตกต่างกันระหว่างพนักงานขายกับลูกค้าเกี่ยวกับสินค้าและบริการ ที่กำลังเสนอขาย เช่น ด้านราคาด้าน คุณภาพ ด้านผลประโยชน์ด้านบริการหลังการขาย เพื่อช่วยสนับสนุนการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของลูกค้าเพราะโดยธรรมชาติแล้ว พนักงานขายจะมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันพนักงานขายต้องการขายสินค้าได้รวดเร็ว มีปัญหาการขายน้อยที่สุดส่วนลูกค้าต้องการซื้อสินค้าที่มีคุณภาพดีราคาถูก ด้วยเหตุนี้เองจึงเกิดข้อโต้แย้งระหว่าง 2 ฝ่ายเสมอลักษณะของข้อโต้แย้งทางการขายในรูปแบบต่างๆ1.การโต้แย้งแบบจริงใจ (SincereObjection) เนื่องจากมีข้อบกพร่องในการเสนอขายและตัวผลิตภัณฑ์เองในด้านคุณภาพ เมื่อเกิดข้อโต้แย้งในลักษณะนี้พนักงานขายจะต้องอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม เพื่อช่วยให้เกิดผลที่ดีในการขาย2.การโต้แย้งแบบไม่จริงใจ (Insincere Objection) ไม่ได้เกิดจากข้อบกพร่องในด้านต่างๆแต่เกิดจากตัวลูกค้าที่จะซื้อสินค้านั้น เมื่อพนักงานขายเห็นว่าเกิดจากสาเหตุดังนี้แล้วพนักงานขายจะต้องเป็นฝ่ายรุกและใช้ความพยายาม ในการชี้ชวนอย่างเต็มที่ การโต้แย้งประเภทนี้เกิดจากรูปแบบของสินค้า3.อุปสรรคในการขาย (Obstacle toSales) ข้อขัดขวางในการที่เกิดขึ้นจริงๆทำให้ลูกค้าไม่สามารถซื้อสินค้านั้นๆได้จริง เมื่อพนักงานเห็นสถานการณ์เช่นนี้พนักงานต้องใช้กลยุทธ์ทางการตลาดคือ การขายโดยเงิน ผ่อน หรือให้ทางลูกค้าพร้อมเสียก่อนสาเหตุที่ทำให้เกิดข้อโต้แย้งทางการขาย1.เกิดมาจากความต้องการ2.เกิดปัญหาด้านราคา3.เกิดจากตัวสินค้า4.เกิดจากตัวพนักงานขาย5.เกิดจากชื่อเสียงของบริษัท6.เกิดจากการผัดผ่อนของลูกค้าการเตรียมตัวของพนักงานขายเพื่อขจัดข้อโต้แย้ง1.ศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวกับการขาย พนักงานขายควรเป็น ผู้รู้จริงเกี่ยวกับสินค้า รู้จักลูกค้ากิจการ ตลอดจนการแข่งขัน เพื่อจะได้มีความรู้ตอบลูกค้าได้อย่างมีเหตุผล ชัดเจน2.พร้อมที่จะรับฟังปัญหาหรือข้อโต้แย้งจากลูกค้าด้วยความเชื่อมั่นการปล่อยให้ลูกค้าได้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่เพื่อจะทราบความต้องการที่แท้จริงของลูกค้านั้น พนักงานขายควรสร้างความอุ่นใจและไว้วางใจให้กับลูกค้าโดยการเป็นผู้ฟังที่ดีพร้อมที่จะอธิบายข้อโต้แย้งนั้นได้ด้วยความใจเย็นและสุภาพอ่อนน้อม3.พัฒนาความรู้และประสบการณ์ของตนเองอยู่เสมอ เพื่อนำมาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ เช่น คอยหมั่นสังเกต พฤติกรรม น้ำเสียง คำพูดของลูกค้าอย่างสม่ำเสมอและตรวจสอบผลการวิจัยว่า ลูกค้าชอบอะไร และไม่ชอบอะไร 4.ไม่กลัวปัญหาและข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้น รู้จักวิเคราะห์ปัญหาลูกค้าเพื่อทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง5.ต้องคาดคะเนล่วงหน้าก่อนไปพบลูกค้า เพื่อให้ทราบว่าน่าจะมีข้อโต้แย้ง หรือคำถามใดๆ จากลูกค้าบ้าง และจะแก้ปัญหานั้นได้อย่างไรเทคนิคในการตอบข้อโต้แย้ง1.การป้องกันข้อโต้แย้ง (The Protective Method of HandingObjective)การรับมือข้อโต้แย้ง จะเป็นไปอย่างมีประสิทธิผลถ้าพนักงานขายรู้ว่าวัตถุประสงค์ที่แท้จริงในการยกข้อโต้แย้งของลูกค้า ข้อโต้แย้งบางอย่างเป็นการยากที่จะรับมือ พนักงานขายที่มีประสบการณ์สามารถเปลี่ยนข้อโต้แย้งให้เป็นข้อสนับสนุนได้2.วิธีการชดเชยข้อโต้แย้ง(Compensation Method) การชดเชยจุดอ่อนของผลิตภัณฑ์และบริการจากข้อโต้แย้งนั้น โดยการนำผลประโยชน์ที่เป็นจุดเด่นชัดกว่าของผลิตภัณฑ์ และบริการมาชดเชยให้3.วิธีการเปลี่ยนข้อโต้แย้งเป็นเหตุผลสนับสนุนการซื้อ (Boomerang Method) พนักงานขายที่ใช้เทคนิคนี้จะสะท้อนข้อโต้แย้งของลูกค้ากลับไปให้กลายเป็นเหตุผลในการซื้อ4.วิธีตั้งคำถาม (Question Method) พนักงานขายที่ใช้เทคนิคนี้จะตอบคำถามลูกค้าในรูปแบบของการป้อนคำถาม กลับเพื่อให้ลูกค้าตอบคำถามข้อโต้แย้งของเขาเอง5.วิธีปฏิเสธทางอ้อม (Indirect Method) พนักงานขายที่ใช้เทคนิคนี้ดูเหมือนว่าจะยอมรับความเป็นไปได้ของข้อโต้แย้งในชั้นต้น แต่จะให้เหตุผลขจัดข้อโต้แย้งนั้นในภายหลัง6.วิธีปฏิเสธตรงๆ(Direct Method) เทคนิคนี้ควรจะเป็นทางเลือกสุดท้ายที่พนักงานขายเลือกใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานขายมือใหม่ไม่ควรนำไปใช้เนื่องจากอาจก่อ ให้เกิดการโต้เถียงกันขึ้นได้ และผลสุดท้ายก็คือ ขายไม่ได้นั่นเอง7.วิธีผ่านข้อโต้แย้งไป (Pass-up Method) พนักงานขายที่ใช้เทคนิคนี้จะเพียงแต่ยิ้มและดำเนินการเสนอขายต่อไปโดยไม่สนใจที่จะตอบข้อโต้แย้งนั้น เทคนิคนี้สามารถจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อพนักงานขายสังเกตเห็นว่าข้อโต้แย้งนี้ไม่จริงจังและลูกค้าไม่สนใจอะไรนักที่จะได้รับคำตอบความหมายของการปิดการขายการปิดการขาย(Closing the Sales) เทคนิควิธีที่นำมาใช้เพื่อให้ลูกค้าเกิดการตัดสินใจซื้อสินค้า หรือเกิดปฏิกิริยาตอบสนองอย่างหนึ่งอย่างใดออกมาให้พนักงานขายทราบสิ่งจำเป็นพื้นฐานของการปิดการขาย1.ต้องมีความอดทน2.ต้องมีความพยายามและตั้งใจศึกษาความต้องการของลูกค้า3.ต้องมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี4.ต้องตรงต่อเวลา5.ต้องมีความรอบคอบหลักการสำคัญของการปิดการขาย1.ควรปิดการขายโดยให้ลูกค้าตัดสินใจเอง การเข้าพบลูกค้าพนักงานขายทุกคนจะต้องแสดงให้เห็นว่าลูกค้าเป็นบุคคลสำคัญด้วยการเตรียมตัวให้พร้อมในทุกๆเรื่องการตัดสินใจซื้อหรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของลูกค้าเองโดยพนักงานขายจะช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีได้ระหว่างเสนอขายจนถึงการปิดการขาย2.ควรปิดการขายตั้งแต่ต้น ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยต้องการพบพนักงานขายเพราะกลัวถูกมัดมืดชกหรือการบังคับให้ซื้อ ดังนั้นพนักงานขายจะต้องลดความกดดันลงโดยยึดหลักการที่ว่า“ขายการนัดหมาย ก่อนการขายสินค้า” 3.ควรปิดการขายทุกครั้งที่ถูกปฏิเสธ เมื่อทราบสาเหตุแล้วพนักงานก็สามารถโน้มน้าวจิตใจหรือปิดการขายได้ เช่นเสนอเงื่อนไขพิเศษในการชำระเงินแจกของกำนัลให้4.ควรพยายามทดลองปิดการขายอยู่เสมอ จึงต้องใช้ความพยายามลองปิดการขายต่อไปในการขายครั้งเดียวกัน จนได้ทราบปัญหาของลูกค้าว่าคืออะไร ในโอกาสต่อไปก็สามารถที่จะกลับมาเสนอขายได้อีก 5.การปิดการขายโดยการยกย่องให้เกียรติลูกค้าอยู่เสมอจะทำให้ลูกค้าเกิดความพอใจและประทับใจ เกิดสัมพันธภาพที่ดีระหว่างกัน พนักงานขายควรใช้คำพูดที่ยกย่องชมเชยลูกค้าด้วยความจริงใจมาเป็นวิธีการปิดการขายได้เทคนิคที่ใช้ในการปิดการขาย1.ถามถึงคำสั่งซื้อ พนักงานขายที่ใช้เทคนิคนี้ จะถามถึงคำสั่งซื้อตรงๆจากลูกค้า2.ตั้งคำถามให้ลูกค้าตอบรับอย่างต่อเนื่องพนักงานขายจะพยายามตั้งคำถามเพื่อให้ลูกค้าตอบว่า“ใช่”เป็นชุดๆ ในระหว่างดำเนินการเสนอขาย จนกระทั่งมาถึงการถามคำสั่งซื้อของพนักงานขาย3.ทึกทักเพื่อปิดการขายพนักงานขายที่ใช้เทคนิคนี้จะทึกทักเอาไว้ก่อนว่าลูกค้าจะซื้อผลิตภัณฑ์และเมื่อลูกค้าไม่มีการโต้แย้ง ก็จะปิดการขายลงทันที4.ปิดการขายในจุดเล็กๆพนักงานขายจะตั้งคำถามให้ลูกค้าเลือกระหว่างทางเลือกสองทางซึ่งคำตอบไม่ได้บอกว่าจะซื้อผลิตภัณฑ์หรือไม่ไม่ว่าลูกค้ามุ่งหวังจะเลือกทางเลือกไหนก็ตามจะเป็นการปิดการขายในที่สุด5.เสนอโอกาสสุดท้ายบอกให้ลูกค้ามุ่งหวังทราบว่าจะสูญเสียโอกาสถ้าไม่รีบตัดสินใจซื้อในขณะนี้ เช่น พนักงานขายบ้านขายโทรศัพท์ ฯลฯ6.สรุปปิดการขาย พนักงานขายที่ใช้เทคนิคปิดการขายนี้จะรวบรวมประเด็นต่างๆ ที่เป็นจุดขายและถามถึงคำสั่งซื้อจากลูกค้า7.ป้องกันการปฏิเสธการซื้อ การใช้เทคนิคนี้จะปิดการขายโดยสร้างเครื่องกีดขวางที่จะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิเสธการตกลงซื้อของลูกค้า8.ปิดการขายจากข้อโต้แย้ง พนักงานขายจะเลือกใช้เทคนิคนี้ก็ต่อเมื่อลูกค้ามีข้อโต้แย้งที่สำคัญเพียงอย่างเดียวในการปฏิเสธการซื้อ และพนักงานขายเชื่อมั่นว่า สามารถที่จะแก้ปัญหาข้อโต้แย้งนั้นให้ลูกค้าได้รับความพอใจสูงสุด9.เสนอการเปลี่ยนแปลงตามที่ลูกค้าต้องการ เหมาะสมที่จะใช้ในกรณีที่ลูกค้ามีความพอใจผลิตภัณฑ์เพียงแต่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆ ซึ่งพนักงานขายรู้ดีอยู่ว่าจะทำการเปลี่ยนแปลงได้อย่างง่ายดายจึงสามารถปิดการขายโดยการเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์ได้ตามที่ลูกค้าต้องการช่วงเวลาที่ควรจะปิดการขาย1.เมื่อพนักงานขายได้อธิบาย ชี้แจงข้อโต้แย้งต่างๆ แล้ว2.เมื่อผู้ที่จะเป็นลูกค้าได้แสดงถึงความต้องการสินค้านั้นอย่างชัดเจนแล้ว3.เมื่อพนักงานขายได้นำตัวอย่างสินค้าออกมาสาธิตให้ดู หรือนำออกมาแสดงให้ผู้ที่เป็นลูกค้าได้เห็นของจริง จนลูกค้าตัดสินใจได้แล้ว4.เมื่อผู้ที่คาดว่าจะเป็นลูกค้าแสดงสัญญาณการซื้อในกรณีนี้พนักงานขายทุกคนต้องใช้ความสามารถในการสังเกต และพิจารณากิริยาท่าทางของผู้ที่จะเป็นลูกค้าเช่น การพยักหน้ายิ้มตรวจสอบสินค้า (สัมผัส กับตัวสินค้าแล้ว) ฯลฯ5.เมื่อผู้ที่จะเป็นลูกค้าซักถามวิธีการใช้การที่พนักงานขายถูกซักถามถึงวิธีการใช้รวมทั้งคุณสมบัติอื่นๆ ด้วยความตั้งใจก็ถือเป็นแนวโน้มที่จะเป็นลูกค้าอุปสรรคของการปิดการขาย1.พนักงานขายกลัวความล้มเหลว ทำให้การปิดการขายมีประสิทธิภาพลดลง ดังนั้น พนักงานขายจึงควรเพิ่มประสบการณ์ขายให้มากขึ้น โดยหมั่นฝึกฝนเทคนิคการขายบ่อยๆ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น เช่นทดลองสาธิตสินค้าให้เกิดความคล่องตัวอยู่เสมอ2.พนักงานขายใช้การสื่อสารแบบทางเดียวกับ ลูกค้าความผิดพลาดอีกประการหนึ่งในการปิดการขายก็คือ นักการขายก็คือ นักขายมักพูดมากเกินไป โดยไม่ได้ฟังความคิดเห็นของลูกค้าเลย การเสนอขายที่พูดอยู่เพียง ฝ่ายเดียวไม่อาจเร่งเร้าให้เกิดการซื้อได้ ต้องตื่นตัว ฟัง และสังเกตความเป็นไปของลูกค้าด้วย3.พนักงานขายขาดการฝึกฝนที่ดีในการเสนอขาย การปิดการขายที่จะประสบผลสำเร็จได้ดีจะต้องมีความรู้ ความสามารถการฝึกฝน และการปฏิบัติที่ดี มีความคล่องตัวอยู่เสมอ4.การวางแผนการขายน้อยเกินไปในกระบวนการขายเป็นเพียงโซ่ข้อหนึ่งในกิจกรรมที่เชื่อมไปสู่การสั่งซื้อ เพราะมีการกำหนดตัวลูกค้าที่มุ่งหวังไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ทำให้เกิดการเข้าถึงลูกค้าได้ดีขึ้น การวางแผนไว้ล่วงหน้ายิ่งทำให้เพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้นอีกด้วย5.การขายแบบแรงกดดันสูงการปิดการขายที่เร่งรีบจนเกินไป หรือแรงกดดันสูงจะทำให้ลูกค้าที่มุ่งหวังไม่ค่อยพอใจในกระบวนการขาย เพราะลูกค้าที่มุ่งหวังส่วนมากต้องการตัดสินใจซื้อด้วยตนเองและไม่ต้องการให้พนักงานขายบีบรัดการตัดสินใจมากเกินไป

Selengkapnya......

9 เทคนิครู้ทันจอมโกหก

ผู้ชาย ของคุณบางครั้งก็ไม่รู้ตัวว่า ท่าทางหรือกิริยาบางอย่างของเขากำลังเผยพิรุธให้สาวๆขับโกหกได้มากเพียงใด เพราะบางครั้งสาวๆเองก็ไม่ทันได้สังเกต ดังนั้นวันนี้ "ไทยรัฐออนไลน์" มี 9 เทคนิคง่ายๆมาฝากคุณผุู้อ่านสำหรับจับสังเกตอาการโกหกของผู้ชายของคุณมาฝาก

ข้อที่ 1 สังเกตที่ขาของเขาดีๆ ยางทีอาจมีความลับอะไรซ่อนอยู่ ดู ให้ดีว่า ระหว่างที่คุณกัน หากหนุ่มๆของคุณนำขาไปไขว้ไว้ด้านหลังหรือรอบๆเก้าอี้ที่นั่งอยู่ นั่นแสดงว่าหนุ่มๆของคุณกำลังตั้งใจหรือมีวัตถุประสงค์จะเก็บซ่อนอะไร บางอย่างไว้ โดยเฉพาะความจริง

ข้อที่ 2 การนิ่งเงียบเมื่อ ไหร่ก็ตามที่คุณถามคำถามที่แสนจะธรรมดา หรือถามอะไรตรงๆบางอย่างกับเขา เช่น “เมื่อคืนคุณไปไหนมา” หรือ “คุณกำลังโกหกอะไรฉันอยู่” ถ้าเขาเลือกที่จะเงียบหรือเลือกที่จะทวนคำถามอีกครั้งหนึ่งก่อนตอบ นั่นแสดงว่าเขากำลังมีสิ่งผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น

ข้อที่ 3 นิ้วหันแม่มือ หรือนิ้วโป้งจอมทรยศถ้า เขายืนอยู่ในท่าที่เอาฝ่ามือซุกกระเป๋าแล้วหล่ะก็ ให้คุณสังเกตก่อนเลยว่า นิ้วหัวแม่มือของเขาอยู่ด้านในหรือด้านนอกกระเป๋า ถ้าอยู่ด้านใน นั่นแสดงว่าเขากำลังรู้สึกตะหนกกับอะไรบางอย่าง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วหล่ะว่าจะตีความว่าเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น

ข้อ 4 เขาไม่สามารถโกหกได้หากต้องลำดับเหตุการณ์แบบย้อนหลังถ้า คุณรู้สึกว่ากำลังเผชิญกับคนที่เล่าเรื่องให้คุณฟังแบบมีท่าทีน่าสงสัย ให้คุณพยายามถามคำถามกดดันเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นแบบไม่เรียบลำดับ เหตุการณ์ หรือสับไปสับมาจากหน้าไปหลัง เพราะสำหรับคนที่พูดโกหกนั้นจะสามารถเล่าเรื่องตามลำดับ a b c d ได้เป็นอย่างดีไม่ติดขัด แต่ถ้าใหโกหกแบบ d c b a คงเป้นไปไม่ได้เลย

ข้อ 5 อาการยักไหล่ถ้า หนุ่มๆกำลังพูดถึงบางสิ่งบางอย่างที่ดูหนักแน่น จริงจัง เช่น “ผมอยู่กับเพื่อนของผมเมื่อคืนนี้” พร้อมกับยักไหล่ไม่ว่าจะข้างนึงหรือสองข้าง แล้วมองไปทางอื่น กิริยาท่าทางแบบนี้เป็นการบ่งบอกว่าเขารู้สึกไม่รับรู้หรือให้คำมั่นกับสิ่ง ที่พูดไป

ข้อ 6 คำว่า “แต่” เกิดขึ้นมากมายระหว่างการสนทนาของเราลอง ดูประโยคเหล่านี้ “ผมรู้ว่าคุณคงคิดว่าเป็นเรื่องแปลก แต่...” หรือ “คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าจะเกิดสิ่งนี้ แต่...” ขอให้รู้ว่าคำพูดใดๆที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เป้นการโกหกคำโต

ข้อ 7 ลิ้นไม่สามารถอำพรางคำโกหกถ้า คุณถามคำถามบางข้อกับใครบางคน แล้วทันใดนั้นเขาก็ตวัดลิ้น หรือเลียริมฝีปากก่อนตอบ นั่นแสดงว่าเขากำลังพยายามหาทางหลีกเลี่ยงการตอบคำถามนั้น

ข้อ 8 เขาพยายามจ้องตาคุณมากจนผิดสังเกตบาง ครั้งคนโกหกก็มักจงใจที่จะจ้องตาคุณในระหว่างตอบคำถามเพื่อแสดงถึงความจริง ใจและความบริสุทธิ์ใจในการตอบคำถาม ดังนั้น คุณต้องพยายามพิสูจน์และหาให้ได้ว่าเขาไม่ได้โกหก

ข้อ 9 การใช้มืออำพรางส่วน ใหญ่คนที่โกหกมักไม่ต้องการให้คุณตรวจพบความผิดปกติในตัวเขาได้ชัดเจน ดังนั้นเขาจะใช้วิธีเอามือมาปกปิดใบหน้า เช่น จับจมูก ขยี้ตา หรือจับคาง ทั้งนี้เพื่อต้องการบิดเบือนคำพูดที่ออกมาปากของเขาขอบคุณข้อมูลจาก

Selengkapnya......

อุปสรรคของการปิดการขาย

1.พนักงานขายกลัวความล้มเหลว ทำให้การปิดการขายมีประสิทธิภาพลดลง ดังนั้น พนักงานขายจึงควรเพิ่มประสบการณ์ขายให้มากขึ้น โดยหมั่นฝึกฝนเทคนิคการขายบ่อยๆ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น เช่นทดลองสาธิตสินค้าให้เกิดความคล่องตัวอยู่เสมอ2.พนักงานขายใช้การสื่อสารแบบทางเดียวกับ ลูกค้าความผิดพลาดอีกประการหนึ่งในการปิดการขายก็คือ นักการขายก็คือ นักขายมักพูดมากเกินไป โดยไม่ได้ฟังความคิดเห็นของลูกค้าเลย การเสนอขายที่พูดอยู่เพียง ฝ่ายเดียวไม่อาจเร่งเร้าให้เกิดการซื้อได้ ต้องตื่นตัว ฟัง และสังเกตความเป็นไปของลูกค้าด้วย3.พนักงานขายขาดการฝึกฝนที่ดีในการเสนอขาย การปิดการขายที่จะประสบผลสำเร็จได้ดีจะต้องมีความรู้ ความสามารถการฝึกฝน และการปฏิบัติที่ดี มีความคล่องตัวอยู่เสมอ4.การวางแผนการขายน้อยเกินไปในกระบวนการขายเป็นเพียงโซ่ข้อหนึ่งในกิจกรรมที่เชื่อมไปสู่การสั่งซื้อ เพราะมีการกำหนดตัวลูกค้าที่มุ่งหวังไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ทำให้เกิดการเข้าถึงลูกค้าได้ดีขึ้น การวางแผนไว้ล่วงหน้ายิ่งทำให้เพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้นอีกด้วย5.การขายแบบแรงกดดันสูงการปิดการขายที่เร่งรีบจนเกินไป หรือแรงกดดันสูงจะทำให้ลูกค้าที่มุ่งหวังไม่ค่อยพอใจในกระบวนการขาย เพราะลูกค้าที่มุ่งหวังส่วนมากต้องการตัดสินใจซื้อด้วยตนเองและไม่ต้องการให้พนักงานขายบีบรัดการตัดสินใจมากเกินไป

Selengkapnya......

อุปนิสัยแห่งความสำเร็จ ..

1. คิดล่วงหน้า คิดไว้ก่อนล่วงหน้าเสมอในการที่จะทำอะไร คิดก่อนทำ คิดก่อนพูด ทำสิ่งที่ถูกต้องเสียแต่แรก ป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นดีกว่าต้องมาแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้นแล้ว2. คิดถึงผลลัพธ์สุดท้ายของการกระทำ ก่อนเริ่มกระทำการใด ๆ ให้คิดถึงผลลัพธ์สุดท้ายของการกระทำว่า เมื่อกระทำเสร็จสิ้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้น มีประโยชน์อย่างไร นั่นแปลว่า ให้รู้เป้าหมายของการกระทำ หรือตั้งเป้าหมายแห่งชีวิตที่จะเดินไปให้ถึง3. จัดลำดับความสำคัญ มีการจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะทำ รู้ว่าควรทำอะไร ก่อน – หลัง และต้องทำให้เสร็จทันเวลา แต่ชีวิตก็ต้องมีความสมดุล ไม่ใช่ว่างานจะมาก่อนเสมอไป ครอบครัว งานอดิเรกที่ตนชื่นชอบ ก็สามารถจัดวางให้อยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสมได้4. คิดแบบชนะ - ชนะ คิดให้ได้ข้อสรุปที่ต่างคนต่างก็ชนะ คือได้ประโยชน์กับทุกฝ่ายไม่คิดทำแบบ ชนะ – แพ้ , แบบแพ้-ชนะ , หรือแบบแพ้ – แพ้ เพราะการแพ้ หมายถึง การสูญเสีย หากเราได้แต่เขาแพ้ เราย่อมเสียเพื่อนเสียพันธมิตร ในเกือบทุกสถานการณ์จะมีทางเลือกแบบชนะ – ชนะ อยู่เสมอ5. เข้าใจผู้อื่น พยายามเข้าใจผู้อื่นแม้ว่าจะเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีไม่ชอบ เพราะเขาอาจจะมีเหตุผลที่ซ่อนอยู่ภายในจึงแสดงพฤติกรรมเช่นนั้นออกมา การเข้าใจคนอื่น เอาใจเขามาใส่ใจเราจะทำให้ลดความขัดแย้ง แล้วจะช่วยให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขมากขึ้น รู้จักช่วยเหลือร่วมมือกัน สามารถทำงานร่วมกับบุคคลอื่นได้ ทำงานเป็นทีมได้ดี การรวมกันจะทำให้เกิดพลังเพิ่มมากขึ้น6. เสริมแรงซึ่งกันและกัน คือ การทำงานเป็นทีม เป็นแรงเสริมซึ่งกันและกัน งานหลายอย่างทำคนเดียวไม่ได้ แต่ทีมทำได้7. ลับเลื่อยให้คม เตรียมตัวให้พร้อม หมั่นฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ เพิ่มประสิทธิภาพทั้งด้านร่างกายจิตใจ และความรู้ความสามารถให้ดีขึ้น คิดและทำข้อ 1 ถึง ข้อ 6 อย่างสม่ำเสมอ ฝึกฝนจนกลายมาเป็นอุปนิสัยประจำตัว แล้วชีวิตจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนใน 3 อุปนิสัยแรก เป็นชัยชนะส่วนตัว (private victory) ทำให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนอันดับ 4 ถึง 6 เป็นชัยชนะมวลชน (public victory) ทำให้ทำงานที่ยาก ๆ ได้ทำงานที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากคนอื่น ๆ ได้ ส่วนข้อ 7 นั้น เป็นสิ่งที่ต้องมีอยู่เสมอ ทำให้พร้อมที่จะทำงานได้ดีตลอดเวลา...
แหล่งที่มา http://www.dopa.go.th/

Selengkapnya......

วิธีการจับโกหก

ในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันนั้น คุณๆคงจะเคยถูกโกหกกันบ่อยๆ ใช่ไหมครับ?โดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งโกหกและทำให้เราต้องเดือดร้อน และ รู้สึกแย่มากๆ ปละคุณก็คงจะคิดว่า ทำไมต้องโกหกกันด้วยนะ บอกกันดีๆก็ได้ ซี่งคนส่วนใหญ่มักจะสื่อความไม่ซื่อ ออกมาและคุณก็สามารถจับโกหกเขาได้นะครับ 108 เกร็ดความรู้ฉบับนี้มีวิธีจับพิรุธคนโกหกมาฝากกันครับ1.ใช้ใบหน้าด้านซ้ายแสดงความรู้สึกเพียงด้านเดียว เช่น ยัดคิ้วข้างซ้าย หรือ เบ้ปากข้างซ้าย ปกติแล้วใบหน้าด้านข้างจะเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมาให้เห็น เพราะมันเชื่อมโยงกับสมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์และการรู้โดยาสัญชาติญาณ2.กานรยิ้มเบี้ยวๆ เป็นเครื่องหมายแสดงว่าคนนั้นกำลังโกหกอยู่ คนที่พูดความจริง หรือยิ้มด้วยความสุขนั้น จะยิ้มเท่ากันสองด้าน โดยไม่ยิ้มเบี้ยวๆ3.ระดับเสียงสูงขึ้นหรือต่ำลงโดยไม่เป็นธรรมชาติ นำเสียงของคนโกหกจะเพิ่มข้น หรือลดลงไม่เป็นธรรมชาติ เพราะคนเหล่านี้จะพยายามเน้นให้คุณเชื่อเรื่องที่เขาโกหก4.หายใจไม่สม่ำเสมอ ในขณะที่นึกหาคำพูดที่ดีที่สุดมาใช้ในการโกหกนั้น คนโกหกจะหายใจลำบาก หรืออาจจะเรียกว่าหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะกลัวอีกฝ่ายจะจับโกหกได้5.เหงื่อไหล หน้าแดง หรือกระพริบตาถี่ๆ ตลอดเวลา อาการนี้แสดงให้เห็นว่าคนโกหกมีอาการเครียดเนื่องกลัวที่คุณจะจับโกหกได้นั่นเอง6.ไม่แสดงอารมณ์หรือความรู้สึกใดๆ แหมาเลย คนที่โกหกเชื่อว่าการที่ตนเองใช้น้ำเสียงราบเรียบ และสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์จะทำให้คุณเชื่อเขา7.เพิ่มหรือลดความเร็วในการพูด ความเครียดจากการที่คนพูดโกหกมักจะทำให้คนพูดติดอ่าง หรือไม่ก็พูดให้จบโดยเร็ว8.ให้เหตุผลหรือชี้แจงมากเกินความจำเป็นคำแนะนำดังกล่าวข้างต้นนี้ นักจิตวิทยาสังคมชื่อ เฟรดริด โครนิก ท่านได้วิจารณ์และกล่าวไว้ เป็นข้อสังเกตุที่ดีและหน้าเชื่อถือ การรู้วิธีจับโกหกได้เป็นสิงที่มีประโยชน์มาก มันจะช่วยให้เราไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของคนโกหกเหล่านี้ ลองเอาไปใช้กันดูนะครับคิดว่ามีประโยชน์สำหรับทุกคนครับ

Selengkapnya......

เทคนิคการบริการให้ลูกค้าติดใจ

ลูกค้าคือบุคคลสำคัญสำหรับการทำธุรกิจทุก ๆ ประเภท และเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของทุก ๆ บริษัท เนื่องจากความสำเร็จของบริษัทขึ้นอยู่ที่ลูกค้าเป็นสำคัญ ถ้าลูกค้าไม่ซื้อสินค้าของคุณแล้ว ธุรกิจของคุณก็ไม่อาจประสบความสำเร็จได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีคำกล่าวว่า “ลูกค้าถูกเสมอ”
ลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าและบริการย่อมคาดหวังที่จะได้รับการบริการที่น่าประทับใจ และความประทับใจนี้เอง ที่จะทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าและบริการจากคุณอีก ในทางกลับกัน แม้ว่าสินค้าของคุณจะมีคุณภาพดีเยี่ยมเพียงใด แต่ถ้าลูกค้าได้รับบริการที่แย่ เขาก็จะไม่มีวันกลับมาใช้บริการของคุณอีก งานบริการลูกค้าจึงเป็นสิ่งที่บริษัทต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง คุณสามารถเพิ่มคุณภาพในงานบริการลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าติดใจในบริการที่เป็นเลิศได้ด้วยวิธีการต่อไปนี้
· การยิ้ม อาจฟังดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่เป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ได้ผลอย่างมาก เวลาที่คุณพูดคุยกับลูกค้าด้วยรอยยิ้ม ไม่ว่าจะพูดต่อหน้า หรือพูดผ่านโทรศัพท์ น้ำเสียงของคุณสามารถบ่งบอกได้ว่าคุณกำลังยิ้มอยู่ ซึ่งลูกค้าสามารถรับรู้ได้ถึงทัศนคติของคุณในเวลานั้น แม้ว่าคุณอาจจะไม่เห็นด้วยกับลูกค้า แต่คุณยังคงต้องควบคุมอารมณ์ สีหน้า และน้ำเสียงเอาไว้เช่นเดิม ทั้งนี้ที่ขาดไม่ได้คือ การแสดงความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ และเข้าใจลูกค้าเสมอ ซึ่งจะทำให้ลูกค้ายังคงรู้สึกดีกับคุณ และคิดว่าเขาได้รับประสบการณ์ที่ดีในครั้งนี้
· การเรียกชื่อลูกค้า พนักงานบริการลูกค้าทุกคนสามารถปรับปรุงการให้บริการที่น่าประทับใจได้ด้วยการเรียกชื่อลูกค้า คุณอาจเริ่มต้นด้วยการบอกชื่อของคุณก่อน จากนั้นจึงถามชื่อของลูกค้า เวลาที่พูดคุยกับลูกค้าคุณอาจเรียกชื่อเขา เพื่อแสดงออกถึงความเอาใจใส่ของคุณ ซึ่งจะสร้างความประทับใจ และทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนคุณเป็นเพื่อนเป็นคนของเขา คนเรามักจะรู้สึกผ่อนคลายเวลาที่อยู่กับเพื่อน ดังนั้นคุณจึงควรปฏิบัติกับลูกค้าเหมือนเขาเป็นคนคุ้นเคยของคุณ
· ไม่วิพากษ์วิจารณ์ลูกค้า สิ่งหนึ่งที่พนักงานบริการลูกค้าพึงระมัดระวัง คือการวิพากษ์วิจารณ์ลูกค้า ซึ่งเป็นการแสดงทัศนคติที่ไม่ดีต่อลูกค้า และสะท้อนถึงการบริการที่ยอดแย่ ไม่น่าประทับใจ
· ไม่โกหกลูกค้า แน่นอนไม่มีใครชอบการโกหก ในกรณีที่คุณไม่รู้ว่าจะตอบลูกค้าอย่างไร แทนที่จะโกหก คุณควรให้ลูกค้ารอสักครู่ เพื่อที่คุณจะหาคนที่สามารถตอบคำถามลูกค้าได้ มาช่วยคุยกับลูกค้าแทนคุณ สิ่งนี้จะทำให้คุณดูดีในสายตาลูกค้า เพราะคุณทำให้เขาเห็นว่าคุณให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาให้เขา
· ทิ้งท้ายให้น่าจดจำ ระหว่างที่คุณพูดคุยกับลูกค้านั้น เป็นเรื่องปกติที่ทุกอย่างไม่อาจราบรื่นง่ายดาย แต่สิ่งที่สำคัญอยู่ที่ตอนจบ ไม่ว่าจะเกิดปัญหาใด ๆ ขึ้นก็ตาม พนักงานบริการลูกค้าจะต้องทำให้การสนทนาสิ้นสุดด้วยความพึงพอใจ ไม่ว่าลูกค้าจะซื้อหรือไม่ซื้อสินค้าของคุณก็ตาม ตอนจบที่สวยงามจะทำให้ลูกค้าเปลี่ยนความคิดและรู้สึกเป็นมิตรกับคุณและบริษัทของคุณมากขึ้น การขอบคุณลูกค้า และถามว่าเขาต้องการให้คุณช่วยเหลืออย่างอื่นอีกหรือไม่ จะช่วยให้คุณสามารถสร้างตอนจบที่ดีในใจลูกค้าได้
5 วิธีข้างต้นจะใช้ได้ผลเพียงใด “ความจริงใจ” เป็นสิ่งที่ต้องมีควบคู่ไปด้วยกันเสมอ ทำทุกอย่างออกมาจากใจของคุณ แล้วลูกค้าก็จะสัมผัสได้เอง

Selengkapnya......

10 ข้อ ที่บอกว่าคุณสามารถเป็นนักขายได้

1. มีทัศนคติที่ดีต่องานขาย สินค้า และลูกค้า การมีทัศนคติที่ดีต่ออาชีพที่คุณทำ ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของทุกอาชีพ ซึ่งงานขายนั้นถือว่าเป็นอาชีพที่ต้องใช้ความอดทนและใจรักสูง ทั้งยัง2. มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบริษัท สินค้าที่ขาย คู่แข่ง การรู้จักศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการของทั้งตัวเองและคู่แข่งถือว่าเป็นโอกาสที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในการขายได้มากขึ้น3. มีความสามารถในการขายตามขั้นตอนของการขาย การเปิดการขาย การเสนอขาย การขจัดข้อโต้แย้ง การปิดการขาย4. ทำงานอย่างทุ่มเท เพราะงานขายเป็นงานที่ต้องใช้ความสามารถของตัวคุณเองล้วนๆ เพราะฉะนั้นจึงขึ้นอยู่กับความขยันหรือความทุ่มเทของคุณเองด้วย5. งานขายเป็นงานที่คุณจะอยู่นิ่งไม่ได้ ต้องมีความกระตือรือร้นในการขายตลอดเวลา 6. รู้จักควบคุมจิตใจและอารมณ์ให้ได้ เพราะแต่ละวันคุณต้องเจอลูกค้าต่างๆ มากมาย 7. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ หากใครคิดว่างานขายเป็นงานที่ไม่ต้องใช้สมอง ขอบอกว่าคุณคิดผิดถนัด หากไม่มีความคิดสร้างสรรค์ คุณคงไม่สามารถหากลยุทธ์ต่างๆ มาขายสินค้าได้แน่ๆ8. มีบุคลิกภาพที่คนอยากเข้าหา นั่นคือ บุคลิกของคนที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ ไม่สร้างความอึดอัด หรือความลำบากใจให้กับคนอื่นๆ เพราะอาชีพคุณเป็นอาชีพที่ต้องเจอคนเป็นหลัก9. มีสุขภาพกายและจิตดี เหมาะสำหรับรูปแบบการทำงานที่ค่อนข้างเคร่งเครียด กดดัน และวุ่นวายในแต่ละวันกับการต้องพบปะลูกค้าหรือว่าการแก้ไขปัญหาต่างๆ10. มีอุปนิสัยที่คนชอบ นั่นคือนิสัยที่คนอยากอยู่ใกล้ เป็นกันเอง ร่าเริง สนุกสนาน หรือมีน้ำใจ ใครๆ เห็นก็ย่อมยินดีเปิดประตูหรืออ้าแขนรับคุณแน่ๆ

Selengkapnya......

เจรจาต่อรองอย่างผู้ชนะ

ในแวดวงธุรกิจ การเจรจาต่อรองเป็นเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญ เพราะบุคลที่มีเทคนิคการต่อรองชั้นยอด สามารถนำพรสวรรค์ดังกล่าวไปสร้างข้อได้เปรียบให้กับองค์กรได้อย่างมากมาย แต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีพรสวรรค์ในเรื่องนี้สักเท่าใดนัก ก็สามารถพัฒนาให้เกิดความเชี่ยวชาญขึ้นได้* เจรจาอย่างไรให้ได้ผล *การเตรียมตัว เป็นขั้นตอนการเตรียมความพร้อมก่อนการเจรจา ดังนี้ - เตรียมจุดมุ่งหมายของการพูด - ศึกษาปัญหาและความเป็นไปได้ว่ามีมากน้อยเพียงใดในการเจรจาให้ประสบผลสำเร็จ - หาข้อมูลลูกค้าสามารถแบ่งกว้าง ๆ ออกเป็น 4 ประเภท
1. ชอบวางอำนาจ พูดจาก้าวร้าว ใจร้อน วางตัวเป็นใหญ่ ลูกค้าประเภทนี้เราต้องยอมรับในคำพูดเขา เมื่อเขายกตัวขึ้นเป็นนาย สิ่งที่เราควรทำคือทำตัวเสมือนเป็นลูกน้องเขา และพยายามพูดให้ตรงประเด็นที่สุด

2. เฉย พูดน้อย จนผู้ฟังไม่ทราบว่า เขามีความรู้สึกเช่นไร ลูกค้าประเภทนี้ต้องกระตุ้นให้เกิดความสนใจในเนื้อเรื่อง แล้วสรุปเพื่อหาข้อคิดเห็นของลูกค้า

3. ประเภทขาดความเชื่อมั่น สองจิตสองใจ หรือตัดสินใจช้า4. ประเภทละเอียดทุกขั้นตอน เราต้องละเอียดตาม อธิบายเนื้อหาให้ชัดเจน ตัวเลขถูกต้อง ทำให้ลูกค้าเห็นรู้สึกว่า เราเป็นคนรอบคอบ และไม่เอาเปรียบหรือคิดโกงเขา- หาความต้องการของทั้งสองฝ่ายรวมถึงดูข้อจำกัดของแต่ละฝ่ายว่ามีอะไรบ้างโดยเฉพาะเรื่องของเวลา และอำนาจการตัดสินใจ - เตรียมวิธีเกลี้ยกล่อมลูกค้า เราต้องเตรียมให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย เพราะการเกลี้ยกล่อม คือการพยายามทำให้ลูกค้าตกลงตามที่เราต้องการโดยยกเหตุผลจูงใจต่าง ๆมาเสริมเพื่อให้ลูกค้าคล้อยตามคำพูดของเรา - การสร้างกำลังใจในตัวเอง ความพร้อมของข้อมูลต่างๆ จะทำให้เราเกิดความมั่นใจ กล้าพูด หรือแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ และพร้อมที่จะเปิดการเจรจาในทุกเมื่อ*เปิดฉากเจรจาต่อรอง เป็นการพบลูกค้าเพื่อเจรจาตกลงตามที่เตรียมตัวไว้ และสิ่งที่ทำให้เราตกลงกันก็คือผลประโยชน์ที่จะได้รับ และความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งรวมถึง สินค้า เงิน ชื่อเสียง ความสัมพันธ์อันดี ภาระผูกพัน การถูกอ้างอิง และการยึดติดเป็นแบบอย่างการปฏิบัติในอนาคต*การเกลี้ยกล่อม เมื่อลูกค้าให้ในสิ่งที่เราต้องการไม่ได้ เราก็ควรนำวิธีการนี้มาช่วย คือพูดเหตุผล จูงใจให้ลูกค้าคล้อยตามเรา และถ้าลูกค้าเชื่อในสิ่งที่พูด เราจะไม่เสียอะไรเพิ่มเติมในการเจรจาครั้งนี้เลย วิธีการเกลี้ยกล่อมที่ดีคือ พิจารณาลูกค้ารายนั้น ๆ ให้ออกว่ามีลักษณะอย่างไร มีจุดอ่อนจุดแข็งด้านใดบ้าง และนำข้อพิจารณามาปรับใช้ให้การเจรจาประสบผลสำเร็จ *การต่อรองเป็นการทำให้อีกฝ่ายยอมตกลงตามที่เราตั้งไว้ แต่เป็นการตกลงที่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเมื่อการเกลี่ยกล่อมอย่างเดียวอาจไม่ประสบผลสำเร็จ ตามวิธีดังนี้ - แสดงความสงสัยในข้อมูลที่อีกฝ่ายได้กล่าวมา เพื่อกระตุ้นให้มีการเปิดเผยข้อมูลมากๆ - เงียบเพื่อกดดันให้อีกฝ่ายพูดรายละเอียด หรืออธิบายเพิ่มเติม - ทดสอบความเข้าใจของฝ่ายตรงข้ามโดยการพูดแปลความหมายแบบผิด ๆ - แสดงจุดยืนที่ชัดเจน หนักแน่น เพื่อแสดงถึงอำนาจการต่อรอง แต่ไม่ควรใช้อารมณ์เข้ามา เกี่ยวข้องจนดูก้าวร้าว หรือข่มขู่ - ยกย่องและให้เกียรติคู่สนทนา บางครั้งต้องเลี่ยงการพูดตรง ๆ เพื่อรักษาน้ำใจซึ่งกันและกัน - เปิดโอกาสให้คู่สนทนาได้มีโอกาสต่อรอง - รู้จักการให้และการรับอย่างพอดี
ยกตัวอย่างเช่น เราต้องการชุดผ้าไหมในราคาชุดละ 15,000 บาท แต่ลูกค้าต่อเหลือเพียง 13,000 บาท เราอาจเสนอว่าถ้าซื้อราคานี้ ทางร้านจะรับประกันให้เพียง 3 เดือน แต่หากซื้อในราคา 15,000 บาท จะรับประกันให้ 1 ปี และถ้านำชุดมาส่งซักที่ร้านทางร้านจะลดราคาค่าซักให้ 10u0E08ำนวน 10 ครั้ง อีกด้วย แต่ถ้าซื้อในราคาที่ลด เราก็ไม่มีส่วนลดตรงนี้ให้ เป็นต้น
จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่าเป็นการต่อรองให้ลูกค้าซื้อในราคาเต็ม โดยที่ทางร้านเองก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มในส่วนที่ต้องรับประกัน แต่ทั้งนี้สิ่งที่เราเสนอให้ลูกค้าในขณะต่อรองไม่ว่าการรับประกัน การให้ของแถม หรือส่วนลด ต้องเป็นสิ่งที่พึงพอใจทั้งสองฝ่าย คือ เราสามารถให้ได้ และลูกค้าพอใจ
*การสรุป
เป็นการกล่าวสรุปเรื่องที่ตกลงกันทั้งหมดอีกครั้ง เพื่อให้เข้าใจตรงกันทั้งสองฝ่ายก่อนลาจากกัน* การเจรจาให้ดี ต้องมีทักษะอย่างไร - สื่อความหมายการพูดหรือแสดงลักษณะท่าทางให้ลูกค้ารับรู้และเข้าใจตรงกันทั้งสองฝ่าย- ฟังจับประเด็นได้ถูกต้อง เข้าใจในความหมาย สามารถตอบคำถามต่าง ๆ ได้ถูกต้อง รวมถึงการรับรู้อารมณ์ของคนพูดได้ว่าขณะนี้อารมณ์ของอีกฝ่ายเป็นเช่นไร- กำจัดข้อขัดแย้ง คือสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ กรณีที่เกิดความไม่เข้าใจกัน เช่น ลูกค้าไม่ยอมตกลงตามข้อเสนอของเรา เราอาจจะยื่นข้อเสนอใหม่จนกว่าจะตกลงกันได้ บางครั้งการยอมเสียเพิ่มอีกเล็กน้อยแต่ผลที่ได้คุ้มค่าก็น่าจะยอม ดีกว่าแข็งกร้าวใส่กัน- จูงใจ คือสามารถพูดโน้มน้าว จูงใจให้อีกฝ่ายคล้อยตามได้- อ่านลักษณะท่าทางของฝ่ายตรงข้ามออก อาทิ การแสดงออกว่าไม่อยากฟัง เช่น นั่งมองเพดาน หรือไม่สบตาคนพูด การแสดงความไม่พอใจ เช่น สีหน้าบึ้งตึง เรียบเฉย ขยับแว่น กอดอก เราต้องสามารถอ่านลักษณะตรงนั้นออกแล้วแก้สถานะการณ์ให้คลี่คลายต่อไป * ความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้- พูดมาก ไร้สาระ หรือวนซ้ำที่เดิม- ประชด ประชัน ขัดจังหวะ หรือเยาะเย้ย- การข่มขู่ เพื่อเอาชนะอย่างเดียว รวมถึงการโจมตีคู่ต่อสู้ด้วย- ทำตัวอวดฉลาดไม่ฟังใคร หรือประเมินฝ่ายตรงข้ามว่าด้อยกว่าตน- ไม่ทำตามที่ลูกค้าต้องการ เช่น ลูกค้าต้องการให้มีการรับประกันแทนการให้ของแถม แต่เราจะให้ของแถมแทนการรับประกัน เป็นต้น- ความไม่กล้าต้องขจัดความไม่กล้าออกจากตัวให้ได้ เช่น ไม่กล้าปฏิเสธลูกค้า ไม่กล้าที่จะต่อรองไม่กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น เป็นต้น- เวลาผู้พูดต้องบริหารเวลาให้ดีและตรวจให้ละเอียดว่า มีเวลาในการพูดเท่าใด เพราะเวลาเป็นสิ่งสำคัญหากมีเวลาน้อย การต่อรองอาจไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ผู้พูดต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด

Selengkapnya......

เจาะลึก "ศิลปะการขาย"

งานขาย ถือเป็นงานที่ต้องใช้ศิลปะเพื่อการจูงใจลูกค้า ดังนั้น พนักงานขายจำเป็นต้องมีกลยุทธ์การเสนอขาย เพื่อเพิ่มยอดจำหน่ายให้แก่องค์กร และการขยายฐานลูกค้าใหม่ ดังต่อไปนี้
ก่อนการขายสินค้าใดๆ ก็ตาม ผู้ขายจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับตัวสินค้าหรือบริการมากพอที่จะให้ข้อมูลแก่ลูกค้าได้อย่างครบถ้วน ทั้งในเรื่องราคา ส่วนลด หรือเงื่อนไขต่างๆ ผู้ขายจะต้องแสดงออกผ่านคำพูดด้วยความมั่นใจ เพื่อให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นต่อสินค้า หรือบริการที่นำเสนอขาย
พูดให้เป็นธรรมชาติ โดยใช้คำพูดที่สุภาพ เช่นคำว่า สวัสดีค่ะ / ครับ ขออภัย ขอโทษ ขอบคุณ และเวลาพูดก็ควรมีหางเสียง อาทิ ค่ะ ครับ เป็นต้น
หลีกเลี่ยงการใช้ศัพท์สแลง หรือศัพท์เฉพาะที่ลูกค้าฟังแล้วไม่เข้าใจ เพราะการสื่อสารถือเป็นเรื่องสำคัญมาก การสื่อสารที่ดีทำให้ลูกค้าเกิดความเข้าใจในตัวสินค้า เห็นข้อดีของสินค้า และทำให้เกิดการซื้อสินค้า ถ้าลูกค้าฟังแล้วไม่เข้าใจ ก็อาจเปลี่ยนไปซื้อสินค้าตัวอื่นแทน
จูงใจลูกค้าด้วยเหตุผล อธิบายคุณลักษณะ คุณภาพ พร้อมทั้งประสิทธิภาพของตัวสินค้าหรือบริการ โดยมีน้ำหนักเพียงพอที่จะโน้มน้าวให้ลูกค้าเกิดความเชื่อถือได้
จูงใจลูกค้าด้านอารมณ์ โดยอธิบายว่า สินค้าและบริการของผู้ขายมีส่วนช่วยให้ลูกค้ารู้สึกดีด้านใดบ้าง เช่น เมื่อเลือกใช้สินค้า หรือบริการของผู้ขายแล้ว ลูกค้าจะมีความสง่า ภูมิฐาน มีรสนิยม นำสมัย รู้สึกสบาย หรือมีความปลอดภัยจากอันตราย เป็นต้น
จูงใจลูกค้าด้วยระบบบริหารขององค์กร ทำให้ลูกค้ามั่นใจว่า ผู้ขายมีระบบการจัดส่งสินค้าตรงเวลา ส่งสินค้าถูกต้องครบตามจำนวน มีบริการที่ดี หรือมีสินค้าให้เลือกมากมาย มีบริการหลังการขายที่เชื่อถือได้ เป็นต้น
พยายามตอบข้อซักถามจากลูกค้า เพื่อลูกค้าจะได้รับทราบข้อมูลสินค้าหรือบริการที่เป็นจริงวิธีดังกล่าวจะช่วยเพิ่มโอกาสทางการขายมากขึ้น
อดทนต่อสิ่งต่างๆ ที่มักเกิดขึ้นได้ในระหว่างการสนทนา เช่น คำตำหนิ คำร้องเรียน การปฏิเสธ การโต้แย้งในเรื่องส่วนลดของสินค้าหรือบริการ โดยผู้ขายต้องไม่แสดงอารมณ์ฉุนเฉียวต่อลูกค้า
สร้างสายสัมพันธ์ระยะยาว เพื่อให้ลูกค้าเก่าเกิดการซื้อซ้ำ รวมถึงช่วยบอกต่อ และชักชวนเพื่อน หรือญาติสนิทให้สนใจซื้อสินค้าด้วย เชื่อเถอะว่า การขายอย่างมีศิลปะจะช่วยนำพาอนาคตของนักขายทั้งหลายให้รุ่งโรจน์และสดใสอย่างแน่นอน

Selengkapnya......

ทฤษฎีการขายไอดาส ( AIDAS )

ทฤษฎีการขายไอดาส ( AIDAS ) เป็นทฤษฎีที่เน้นหนักด้านผู้ขายว่าต้องปฏิบัติการต่าง ๆ ตามลำดับขั้นให้ถูกต้องตามกาลเทศะ เพื่อผลสำเร็จในการเสนอขาย ความเอาใจใส่ (Attention) ขั้นแรกพนักงานขายต้องหาโอกาสที่จะทำให้ผู้คาดว่าเป็นลูกค้าตื่นตัว พร้อมที่จะรับฟังการเสนอขาย เช่น การขอนัดพบล่วงหน้า หรือบอกเหตุผลในการมาหรือขออภัยที่รบกวนเวลาเขา การที่จะทำให้เขาเกิดความเอาใจใส่ที่จะรับฟังการเสนอขายอาจเป็นผลมาจากบุคลิกท่าทาง การแต่งกายเรียบร้อย การยิ้ม การพูดจาสุภาพนิ่มนวล พนักงานขายจะต้องแน่ใจว่าสามารถทำได้สำเร็จ ซึ่งเท่ากับเป็นการเริ่มต้นการขายที่มีประสิทธิภาพ และทำให้ผ่านไปสู่ขั้นตอนอื่น ๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้นความสนใจ ( Interest ) เมื่อเห็นว่าลูกค้าพร้อมที่จะรับฟังการเสนอขาย พนักงานขายก็ต้องเริ่มสร้างความสนใจ มีวิธีการให้ลูกค้าเกิดความสนใจ กล่าวถึงรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ โดยอาจเสนอตัวอย่างสินค้า แค๊ทตาล๊อก รูปภาพ หรืออื่น ๆ มาช่วยเร่งเร้าความสนใจให้เกิดเร็วขึ้น หนักที่สำคัญก็คือ พนักงานขายต้องพยายามหาความต้องการของลูกค้า ( ในด้านทัศนคติและความรู้สึก ) โดยวิธีการตั้งคำถาม ทดสอบความสนใจเพื่อทราบถึงความรู้สึก ทัศนคติ หรือท่าทีซึ่งบางครั้งลูกค้าอาจจะบอกมาเองก็ได้ ความปรารถนา(Desire)เป็นขั้นที่พนักงานขายต้องพยายามจูงใจให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกอยากที่จะเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่เสนอขายอยู่ ขั้นนี้เป็นระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของการขายเพราะลูกค้ามักจะตั้งข้อตำหนิติเตียน สงสัย โต้แย้งต่าง ๆ ซึ่งทำให้เป็นอุปสรรคในการขาย พนักงานขายต้องเตรียมพร้อมที่จะรับสถานการณ์ พยายามควบคุมสติอารมณ์ ปรับตัวให้เข้ากับลักษณะลูกค้าแต่ละรายจนสามารถแก้ข้อสงสัยต่าง ๆ ไปได้ โดยทำให้ลูกค้าเข้าใจและยอมรับหรือพอใจในคำตอบ บางครั้งจะเป็นการประหยัดเวลาได้มากถ้านักงานขายจะกล่าวถึงคำถามที่เขามักจะได้รับเสียเอง โดยอาศัยประสพการณ์ที่ผ่านมาและก่อนที่จะดำเนินการต่อไปก็ควรสรุปสาระสำคัญ ๆ ที่ได้กล่าวแล้วเพื่อกระตุ้นเตือนความสนใจของลูกค้า การตกลงใจที่จะซื้อ ( Action ) หากการเสนอขายได้กระทำอย่างถูกต้องแล้ว ย่อมทำให้ผู้คาดว่าจะเป็นลูกค้าพร้อมที่จะตกลงซื้อ อย่างไรก็ตามการตกลงซื้อไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติจะต้องอาศัยการชี้ชวนของพนักงานขายด้วย พนักงานขายที่ดีจะปิดการขายเมื่อเห็นแน่นอนว่าลูกค้าเกิดความอยากซื้ออย่างแรงกล้า โดยทั่วไปไม่นิยมถามตรง ๆ ว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ แต่มักใช้คำถามเลี่ยง ๆ เช่นว่าจะให้ส่งสินค้ามาเมื่อไหร่ จำนวนเท่าไหร่ ตกลงใจซื้อ ( Action ) เป็นขั้นตอนที่ลูกค้าตกลงใจซื้อสินค้าที่เสนอขายแต่ผุ้ซื้ออาจจะไม่สั่งซื้อทันที การปิดการขายจึงไม่ควรที่จะตั้งคำถามให้ลูกค้าตอบว่า "ซื้อ" หรือ "ไม่" แต่ควรจะเลี่ยงด้วยการถามว่า "ต้องการสีอะไร" "จะให้จัดส่งเมื่อใด" "ต้องการจ่ายเป็นเงินสดหรือใช้บัตรเครดิต" เป็นต้นความพอใจ ( Satisfaction )พนักงานขายต้องเสริมสร้างความพอใจให้กับลูกค้าโดยการแสดงความขอบคุณ และแสดงให้ลูกค้ารู้สึกว่า ได้ตัดสินใจถูกต้อง เหมาะสมที่สุดแล้ว ทั้งให้ลูกค้าเกิดความประทับใจและพอใจที่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้ขาย ขั้นนี้ควรทำให้เร็วที่สุดหลังการขาย พนักงานขายปลีก อาจจะเห็นว่าในขั้นนี้อาจจะเสนอขายสินค้าอื่น ๆ เพิ่มได้อีกด้วย

Selengkapnya......

ศาสตร์และศิลป์ในการขายและบริการลูกค้า

ระยะนี้ ผมไม่ใคร่มีเวลาและสมาธิที่ดีพอ ที่จะเขียนบทความ แม้เพียงสั้นๆ ได้สักชิ้นหนึ่ง ครั้งนี้ จึงขอแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการนำส่วนหนึ่งของเนื้อหาจากเอกสารประกอบการสัมมนาในหลักสูตรเกี่ยวกับการขายและการบริการของผมเอง มาให้ท่านผู้อ่าน ได้อ่านขัดตาทัพไปพลางๆ ก่อน เป็นเนื้อหาที่สรุปจากบางส่วนของหนังสือ “How to win customers & keep them for life” ของ Dr.Michael LeBoeuf เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ตามสมควร คราวหน้า ผมคงจะพอมีเวลาและสมาธิมาขีดเขียนอะไร เพื่อพูดคุยกับท่านได้อีกครับ ยุทธศาสตร์ / ยุทธวิธีที่จะทำให้เหนือกว่าและดีกว่าการขาย ข้อที่ควรคำนึง 3 ประการ
1. เป้าหมายสำคัญที่สุดก็คือ การสร้างและรักษาลูกค้า 2. ระหว่างการขายและการช่วยเหลือผู้อื่นนั้นมีความแตกต่างกันมาก 3. คนเราชอบที่จะซื้อแต่เกลียดที่จะถูกขาย
ดังนั้น …
* เพ่งเล็งไปในสิ่งที่ลูกค้าปรารถนาและต้องการ ช่วยเขาให้ได้ซื้อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา และทำให้เขารู้สึกดี ๆ กับสิ่งนั้น * ทำทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อปรับปรุงสินค้าและบริการ * ถามตัวเองด้วยคำถาม “ เราจะช่วยเหลือลูกค้าของเราให้มากขึ้น ดีขึ้น ได้อย่างไร ” * จัดให้การช่วยเหลือลูกค้าเป็นงานที่สำคัญที่สุด
สิ่งที่ลูกค้าซื้อจริง ๆ มีอยู่ 2 สิ่งเท่านั้น คือ
1. ความรู้สึกดี ๆ 2. วิธีแก้ปัญหาต่าง ๆ เคล็ดลับ
ก็คือ การทำความเข้าใจในปัญหาของลูกค้า แล้วจัดหาวิธีแก้ไขให้แก่เขาเพื่อช่วยลูกค้าให้มีกำไรและมีความรู้สึกที่ดีต่อการค้าขายครั้งนั้น ๆ

► จงจำไว้ว่าคนเราจะซื้อด้วยอารมณ์เร้า แต่จะพิสูจน์ว่าเขาตัดสินใจถูกต้องแล้วด้วยการใช้เหตุผลหรือ หลักตรรกะมาสนับสนุน ► ในการซื้อแทบจะทุกกรณีนั้น เราไม่ได้ซื้อในสิ่งที่เราต้องการ ( NEED ) แต่เราซื้อในสิ่งที่เราอยาก หรือปรารถนาที่จะได้ ( WANT ) ► คนเรานั้นมีภาวะทางอารมณ์พื้นฐานได้เพียง 4 อย่างเท่านั้น คือ สุข / เศร้า / โกรธ / กลัว.. ลูกค้าจะซื้อก็ต่อเมื่อเขารู้สึกสุขใจเกี่ยวกับตัวเราและสินค้ากับบริการของเราเท่านั้น ► คนเราจะใช้เงินยามที่เขามีความรู้สึกดี ๆ และอยู่ในที่ดี ๆ ► คนเรามิได้ซื้อสินค้า แต่จะหาซื้อวิธีแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น เขามิได้ซื้อเครื่องกรองน้ำที่มีแสงยูวี แต่เขาซื้อน้ำดื่มที่เขาวางใจได้ต่างหาก ► รำลึกไว้เสมอว่าลูกค้าซื้อด้วยเหตุผลของเขา ไม่ใช่ของเรา จงขายในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ไม่ใช่ที่เรา ต้องการ ► ประมาณ 75 % ของการตัดสินใจซื้อทั้งหมดล้วนเกิดจากความต้องการและความปรารถนาในจิตใต้ สำนึกทั้งสิ้น ดังนั้น ตรวจดูความปรารถนาและปัญหาของลูกค้าให้ได้แน่นอนแล้วจึงตอบสนองไปใน ลักษณะที่ทำให้ลูกค้าเป็นปลื้ม ► ใช้เหตุผลและอารมณ์ในการเอาชนะใจและมัดใจลูกค้า อารมณ์เร้าเป็นตัวทำให้ลูกค้าซื้อแต่เหตุผลเป็น ตัวทำให้ลูกค้ารักษาการซื้อและกลับมาซื้ออีก ► ถ้าเราเอาใจใส่ในตัวลูกค้า ลูกค้าจะกลับมาอีก แต่ถ้าเราเอาใจใส่ในตัวสินค้า กล่าวคือ ตั้งท่าจะขายท่า เดียวลูกค้าจะไม่หวนกลับมาอีกเลย สิ่งที่ผู้ขาย ขายจริง ๆ มีอยู่สิ่งเดียวเท่านั้น คือ “ ขายตัวเอง ” → ช่วยให้ลูกค้าชื่นชอบตัวเขาเองให้มากขึ้นก่อน แล้วเขาจะชอบเราเอง → ขายตัวเองให้ได้ก่อน คือ ขายความน่าเชื่อถือ ขายความกระตือรือร้น ขายความมั่นใจ ขายความ จริงใจ ขายความเป็นกันเอง ขายความรอบรู้ ขายความอดทน ขายความน่ารัก มีเสน่ห์ ก่อนที่ลูกค้าจะวางใจเรา เชื่อถือเรา ลูกค้าจะประเมินเราจากบุคลิกลักษณะของเราก่อนด้วย สมองส่วนหน้า ( FIRST BRAIN ) แล้วจึงค่อยเก็บความรับรู้ ความทรงจำของเขาเอาไว้ใน สมองส่วนใน ( NEWBRAIN )
จงทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจตั้งแต่ต้น ( FIRST IMPRESSION ) ด้วยบุคลิกลักษณะที่ดี การเอาชนะใจลูกค้าด้วยการถามคำถามทอง
( หนทางนำไปสู่การได้ลูกค้าจำนวนมากขึ้นก็คือ การให้การสนองตอบความต้องการที่ยังไม่มีใคร ให้อยู่ในขณะนั้น ( การค้นหาความต้องการที่ยังไม่มีการสนองตอบ คือ เป้าหมายการเอาชนะใจลูกค้า ดังนั้น จงหมั่นถามตัวเองด้วยคำถามทองที่ว่า… “ ความปรารถนาที่ซ่อนเร้นของลูกค้าคืออะไร ? ” การมัดใจลูกค้าไว้ตลอดชีวิต ต้องถามด้วยคำถามทองฝังเพชร 1. สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้เป็นอย่างไร? 2. เราจะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร? วิธีดีที่สุด 5 ประการที่จะทำให้ลูกค้าหวนกลับมาอยู่เสมอ ( RELIABLE & CARE )
1. RELIABLE ⇒ ความไว้วางใจพึ่งพาอาศัยได้ 2. CREDIBILITY ⇒ มีความน่าเชื่อถือ 3. APPEARANCE ⇒ มีเสน่ห์ชวนชม 4. RESPONSIVENESS ⇒ มีการสนองตอบ 5. EMPATHY ⇒ เอาใจเขามาใส่ใจเรา

Selengkapnya......

การสร้างกำลังใจ

โดย: คุณอินทิรา ปัทมินทรนักวิชาการสาธารณสุข 8 สำนักพัฒนาสุขภาพจิต
กำลังใจเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะเมื่อมีปัญหา มีความทุกข์ หรืออยู่ใน ภาวะวิกฤต กำลังใจที่เข้มแข็งเท่านั้นที่จะช่วยให้คุณฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้ ดังนั้น เราจึงควรมาเรียนรู้ที่จะสร้างกำลังใจให้แข็งแกร่งกัน ดังนี้
ประการแรก คุณต้องมองโลกในแง่ดี มีความหวัง ต้องคิดอยู่เสมอว่าพรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้ ความสำเร็จกำลังรอคุณอยู่ข้างหน้า ถ้าคุณสามารถอดทนผ่านวันนี้ไปได้ พรุ่งนี้คุณก็จะเป็นผู้ชนะ
ประการที่สอง คุณต้องไม่ลืมอดีต คุณต้องไม่ลืมว่าคุณเคยประสบความสำเร็จมาแล้วในอดีต เช่น เรียนจนจบ มีงานทำ มีครอบครัว มีเงินมีทอง เป็นต้น ซึ่งกว่าคุณจะประสบความสำเร็จได้ก็ต้องผ่านอุปสรรคมาแล้วทั้งสิ้นดังนั้นปัญหาหรือความทุกข์ที่เกิดขึ้นในวันนี้คุณก็ต้องเอาชนะได้เช่นกัน คุณจะเห็นได้ว่าชีวิตมีขึ้นมีลงอยู่เสมอความทุกข์จึงไม่อยู่กับคุณอย่างถาวรสักวันหนึ่งมันต้องผ่านพ้นไปอย่างแน่นอน
ประการที่สาม คุณต้องลองศึกษาชีวิตของคนอื่นดูบ้าง จะโดยการดูรายการโทรทัศน์ หรือ อ่านหนังสือก็ได้ คุณจะเห็นว่าคนที่เขาประสบความสำเร็จในชีวิต มักต้องผ่านความลำบากทุกข์ยากมาก่อน ทั้งนั้น ควรดูพวกเขาเป็นตัวอย่าง คุณจะได้เกิดกำลังใจและมีใจสู้เหมือนพวกเขา
ประการที่สี่ ขอให้คุณคิดถึงเป้าหมายในอนาคตอยู่เสมอ เช่น คิดถึงบ้านที่คุณอยากเป็นเจ้าของ คิดถึงรถยนต์ที่คุณอยากได้ คิดถึงปริญญาที่คุณใฝ่ฝัน หรือไม่ก็คิดถึงคนที่คุณรัก เช่น พ่อแม่ หรือลูก บอกตัวเองว่าที่คุณอดทนและต่อสู้อยู่ทุกวันนี้ก็เพื่ออนาคตและเพื่อคนที่คุณรัก ถ้าคุณทำสำเร็จคุณก็จะได้ในสิ่งที่คุณต้องการ และทุกคนก็จะมีความสุขด้วยกัน คุณจะได้เกิดกำลังใจในการต่อสู้ชีวิตมากขึ้น
หากคุณรู้สึกว่าท้อแท้ ให้กำลังใจตัวเองแล้วไม่ได้ผล ขอให้ลองหากำลังใจจากคนใกล้ชิดดูบ้าง จะเป็นคนในครอบครัว หรือเพื่อนสนิทก็ได้ ลองพูดคุยความทุกข์ในใจกับพวกเขา เขาจะให้กำลังใจคุณได้

Selengkapnya......